วันอาทิตย์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2553

นวัตกรรมใหม่เครื่องใช้ในบ้าน จับมาพ่วงกันสั่งทำงานออนไลน์

คิดไม่ถึงว่า แค่เครื่องซักผ้าที่ใช้งานกันทุกวัน กว่าจะผลิต ออกมาได้ต้องผ่านการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ กันละเอียดยิบ เพื่อให้คุณแม่บ้านรู้สึกสบายมากที่สุดขณะรับผิดชอบงานภายในบ้าน

ภายในงาน IFA 2010 หรืองานแสดงสินค้าอิเล็กทรอนิกส์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป ซึ่งจัดเป็นประจำทุกปีในเดือนกันยายน ณ กรุงเบอร์ลิน เยอรมนี ปีนี้ผู้ผลิตเครื่องใช้ในบ้านต่างนำเสนอแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับการรักษาสิ่งแวดล้อมไปควบคู่กับการพัฒนาเทคโนโลยี ทั้งโทรทัศน์ ตู้เย็น คอมพิว เตอร์ เครื่องเสียง อุปกรณ์ทำอาหาร เครื่องซักผ้าและเครื่องดูดฝุ่น

สำหรับนวัตกรรมเครื่องซักผ้าในปี 2553 หรือ 2010 ซึ่งเป็นจุดเด่นของงานนี้ เราจะเห็นเครื่องซักผ้าฉลาดมากขึ้น ซักสะอาดมากขึ้น ควบคู่ไปกับการทำหน้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ในฐานะแขกของซัมซุง ซึ่งเชิญไป ดูเทคโนโลยีเครื่องซักผ้าถึงเยอรมนี จึงได้เห็นการคิดค้นใหม่ ๆ เพราะแค่ซักให้สะอาดนั้นยังไม่พอ

เริ่มจากถังซักผ้า ซึ่งปกติแล้วถังซักจะมีพื้นผิวเป็นรูพรุนกลม ๆ ผิวด้านนอกจะคม ซึ่งหากเสื้อผ้าเข้าไปเกี่ยว จะเกิดเป็นรูเล็ก ทำให้เสื้อขาดได้ง่าย ทีมงานวิจัยและพัฒนาของซัมซุงได้ออกแบบใหม่ให้พื้นผิวของถังซักเป็นลายเพชร ด้วยเหตุผลผ้าจะได้ไม่ต้องสัมผัสกับผิวสัมผัสของ ถังซักทั้งหมด ก็จะช่วยถนอมเนื้อผ้าให้มีอายุใช้งานนานขึ้น และผิวนอกก็ทำให้เรียบเพื่อแก้ปัญหาผ้าขาดเป็นรู

อีกปัญหาหนึ่งที่ได้มาจากการทำวิจัยสัมภาษณ์คุณแม่บ้านชาวไทย ซึ่งกว่า 65% ระบุว่า มีปัญหาเรื่องผงซักฟอกตกค้างในตัวเครื่องและติดตามเสื้อผ้าเป็นคราบขาว นักวิจัยจึงได้ทำการทดลองพบว่า วิธีการใส่ผงซักฟอกไปพร้อมกันทำให้เครื่องตีฟองไม่แตก จึงเกิดเป็นคราบขาว แต่หากนำผงซักฟอก น้ำและอากาศมารวมกัน ก่อนส่งเข้าถังซัก จะทำให้ฟองที่เกิดจากผงซักฟอกกลายเป็นฟองโฟม ซึ่งจะช่วยถนอมเนื้อผ้า ซึมเข้าไปทำความสะอาดได้เร็วและง่ายกว่าปกติถึง 40% และยังช่วยประหยัดไฟได้อีก 15% เพราะใช้ไฟในระหว่างซักแค่ 100 วัตต์ หากเป็นแบบเดิมจะกินไฟถึง 2,000 วัตต์ สาเหตุที่ประหยัดไฟก็เพราะไม่ต้องใช้น้ำร้อนและซักแค่รอบเดียวก็สะอาดแล้ว

ซัมซุงเรียกเทคโนโลยีนี้ว่า อีโค บับเบิล จะมีให้เห็นในเครื่องซักผ้ารุ่นใหม่ ๆ เท่านั้น

อีกเทคโนโลยีที่น่าสนใจและเหมาะกับการใช้ชีวิตคนเมืองที่อยู่คอนโดมิเนียม ก็คือ การออกแบบตู้เย็น ไมโครเวฟ และเครื่องล้างจานที่กลมกลืนเข้ากับลักษณะของห้องครัวขนาดเล็ก อุปกรณ์เหล่านี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของผนังบ้าน แม้กระทั่งไมโครเวฟ ซึ่งทำหน้าที่เป็นเตาอบด้วย ก็ยังใส่เทคโนโลยีให้ทำความสะอาดตัวเองหลังการใช้งาน และยังสามารถอบอาหารที่แตกต่างกันได้ในเตาเดียว เช่น ถาดบนอบเนื้อ ถาดล่างนึ่งผักผลไม้ ...อะไรจะขนาดนั้น

ทั้งหมดนี้อยู่บนแนวคิดโฮมคอนเน็คทิวิตี้ หรือการเชื่อมต่อภายในบ้าน ลองนึกภาพดูว่า ภายในห้อง หรือภายในบ้านของเรา มีห้องนั่งเล่น ห้องครัว ห้องนอน ฯลฯ แล้วเราสามารถสั่งงานอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ไวไฟ และบลูทูธ ผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ ให้สิ่งของเหล่านี้คุยกันและ ทำงานให้เรา เช่น สั่งให้เปิดแอร์ก่อนเข้าบ้าน ระหว่างไม่อยู่บ้าน เครื่องดูดฝุ่นก็ทำงานให้อัตโนมัติ ตู้เย็นก็จะรายงานผ่านทางระบบ ออนไลน์ว่า ในวันนี้มีอาหารประเภทไหนอยู่ในตู้เย็น และวัตถุดิบที่มีอยู่นั้นสามารถทำกับข้าวอะไรได้บ้าง

แนวคิดเหล่านี้ไม่ใช่มีอยู่แค่ในหนังแนวไซไฟอีกต่อไป ภายในงาน IFA 2010 มีให้เห็นแล้ว หากโฮมคอนเน็ตทิวิตี้ ได้รับความนิยมในเมืองไทย ก็น่าอิจฉาสาวใช้อิมพอร์ตที่มีเวลาว่างส่วนตัวมากขึ้น ส่วนพวกแม่บ้านสารพัดประโยชน์อย่างผู้เขียน ขอใช้วิธีดั้งเดิมทำมานานกว่า 10 ปี บัญชาการด้วยนิ้วชี้ สั่ง... ทำงานเหมือนเดิม.

ปรารถนา ฉายประเสริฐ
prathana.chai@gmail.com

ก.ไอซีที เดินหน้าโครงการบรอดแบนด์แห่งชาติ ตั้งเป้าเปิดบริการอินเทอร์เน็ตราคาถูกทั่วประเทศได้ภายใน 2 ปี

ก.ไอซีที เดินหน้าโครงการบรอดแบนด์แห่งชาติ ตั้งเป้าเปิดบริการอินเทอร์เน็ตราคาถูกทั่วประเทศได้ภายใน 2 ปี

ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ระบุ กระทรวงไอซีที เดินหน้าโครงการบรอดแบนด์แห่งชาติ ตั้งเป้าเปิดบริการอินเทอร์เน็ตราคาถูกทั่วประเทศให้ได้ภายใน 2 ปี
ดร.รอม หิรัญพฤกษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือ ไอซีที กล่าวถึงความคืบหน้าการดำเนินโครงการติดตั้งอินเทอร์เน็ตทั่วประเทศ ในงานเสวนาสื่อมวลชน โครงข่ายบรอดแบนด์แห่งชาติ ประโยชน์เพื่อใคร ทำไมต้องมี ว่า ในวันที่ 17 กันยายนนี้กระทรวงไอซีที เตรียมเสนอร่างนโยบายบรอดแบนด์แห่งชาติต่อคณะกรรมการเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือ NITC ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานคณะทำงาน และเมื่อคณะกรรมการ NITC ผ่านการพิจารณาร่างดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว ก็จะเตรียมเสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีในเดือนตุลาคมต่อไป และหากผ่านการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี กระทรวงไอซีที จะเร่งดำเนินการเปิดบริการบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ตให้เห็นเป็นรูปธรรมภายใน 2 ปี โดยบริการดังกล่าวสามารถครอบคลุมได้ทั่วประเทศ คนไทยจะได้ใช้อินเทอร์เน็ตราคาถูก และทุกพื้นที่สามารถมีอินเทอร์เน็ตใช้งานได้อย่างเท่าเทียมกัน
ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงไอซีที กล่าวด้วยว่า เหตุผลที่ประเทศไทยจำเป็นต้องเร่งพัฒนาเรื่องบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ตในระยะนี้ เนื่องจากพบว่าจากการจัดอันดับการเข้าถึงและใช้อินเทอร์เน็ตของประเทศแถบเอเชีย ไทยอยู่ที่อันดับ 47 ซึ่งเป็นอันดับที่ลดลงแต่ในหลายประเทศกลับเพิ่มขึ้น ส่วนค่าบริการด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศของไทยก็พบว่ามีค่าบริการที่สูงสุด เมื่อเฉลี่ยจากรายได้ต่อคนของประชากรในประเทศ ซึ่งหากโครงการบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ตเกิดขึ้นก็จะช่วยแก้ปัญหาดังกล่าวได้

ข้อมูลข่าวและที่มา

ผู้สื่อข่าว : อนงนาฎ สิทธิคง Rewriter : กัลยา คงยั่งยืน
สำนักข่าวแห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์ : http://thainews.prd.go.th

วันเสาร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

มาดูความหมายของเลขบัตรประชาชนทั้ง 13 หลักกันเถอะ

รู้หรือไม่ ความหมายของเลข 13 หลัก ในบัตรประจำตัวประชาชน เตรียมหยิบบัตรประชาชนขึ้นมาเลย แล้วมาดูไปพร้อมๆกันครับ

หลักที่ 1
หมายถึงประเภทบุคคลซึ่งมี 8 ประเภท คือ

•ประเภทที่ 1 คือ คนที่เกิดและมีสัญชาติไทย และได้แจ้งเกิดภายในกำหนดเวลา หมายความว่า
เด็กคนใดก็ตามที่เกิดตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2527 เป็นต้นไป
อันเป็นวันเริ่มแรกที่เขาประกาศให้ประชาชนทุกคน ต้องมีเลขประจำตัว 13 หลัก เมื่อพ่อแม่ผู้ปกครองไปแจ้งเกิดที่อำเภอ หรือสำนักทะเบียนในเขตที่อยู่ภายใน 15 วันนับแต่เกิดมา ตามที่กฎหมายกำหนด เด็กคนนั้นก็ถือเป็นบุคคลประเภท 1 และจะมีเลขประจำตัวขึ้นด้วยเลข 1

•ประเภทที่ 2 คือ คนที่เกิดและมีสัญชาติไทย ได้แจ้งเกิดเกินกำหนดเวลา หมายความว่า
เด็กคนใดก็ตามที่เกิดตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2527 เป็นต้นไป
แล้วบังเอิญว่าพ่อแม่ผู้ปกครองลืมหรือติดธุระ ทำให้ไม่สามารถไปแจ้งเกิดที่อำเภอหรือเขตภายใน 15 วันตามกฎหมายกำหนด เมื่อไปแจ้งภายหลัง เด็กคนนั้นก็จะกลายเป็นบุคคลประเภท 2

•ประเภทที่ 3 คือ คนไทยและคนต่างด้าว ที่มีใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว และมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน
ในสมัยเริ่มแรก (คือตั้งแต่ก่อนวันที่ 31 พฤษภาคม 2527)หมายความว่า บุคคลใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นคนไทย
หรือคนต่างด้าว ที่มีใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว และมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน ณ ที่ใดที่หนึ่งในประเทศไทย มาตั้งแต่ก่อนวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2527 คนนั้นถือว่าเป็นบุคคลประเภท 3

•ประเภทที่ 4 คือ คนไทยและคนต่างด้าว ที่มีใบสำคัญคนต่างด้าวแต่แจ้งย้ายเข้า
โดยยังไม่มีเลขประจำตัวประชาชน ในสมัยเริ่มแรก หมายความว่า คนไทยหรือคนต่างด้าว ที่มีใบสำคัญคนต่างด้าว
ที่อาจจะเป็นบุคคลประเภท 3 คือมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านเดิมอยู่แล้ว แต่ยังไม่ทันได้เลขประจำตัวก็ขอย้ายบ้านไปเขตหรืออำเภออื่น ก่อนช่วงวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2527 ก็จะเป็นบุคคลประเภท 4 ทันที เช่น
ส้มจี๊ดมีชื่ออยู่ในสำนักทะเบียนเขตคลองสาน มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2501 ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ 2527 ส้มจี๊ดก็ขอย้ายบ้านไปเขตดุสิต โดยที่ส้มจี๊ดยังไม่ทันได้เลขประจำตัวจากเขตคลองสาน
พอแจ้งย้ายเข้าเขตดุสิต ส้มจี๊ดก็จะกลายเป็นบุคคลประเภท 4 มีเลขประจำตัวขึ้นต้นด้วย 4 กลายเป็น 4 1001
01245 29 9 ทันที แต่ถ้าส้มจี๊ดย้ายจากเขตคลองสานเดิม ไปเขตดุสิต หลังวันที่ 31 พฤษภาคม 2527
ส้มจี๊ดก็ยังเป็นบุคคลประเภท 3 อยู่ เพราะถือว่าจะได้เลขประจำตัวจากเขตคลองสานแล้ว
จะย้ายอย่างไรก็ไม่เปลี่ยนแปลง

การกำหนดให้บุคคลเริ่มมีเลขประจำตัว 13 หลักในทะเบียนบ้านหรือบัตรประชาชน โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1
มกราคม 2527 เป็นต้นไป จนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2527 อันเป็นวันสุดท้าย ของการดำเนินการให้ประชาชน
ที่ไม่มีเลขประจำตัวในบัตรหรือทะเบียนบ้าน ได้มีเลขประจำตัวจนครบแล้วนั้น ก็เพราะก่อนหน้านี้ประเทศไทยยังไม่เคยมีการกำหนดเลขประจำตัวดังกล่าวมาก่อนเลย ดังนั้น ช่วงที่ว่าจึงเป็นระยะเวลาจัดระบบให้เข้าที่เข้าทาง เพราะหลังจากวันที่ 31 พฤษภาคม 2527 แล้ว
ทุกคนจะต้องมีเลขประจำตัวเพื่อสำแดงตนว่า เป็นบุคคลประเภทใด โดยดูตามเงื่อนไขในแต่ละกรณี ซึ่งมีอีก 4 ประเภท คือ ประเภทที่ 5-8
•ประเภทที่ 5 คือ คนไทยที่ได้รับอนุมัติให้เพิ่มชื่อ เข้าไปในทะเบียนบ้านในกรณีตกสำรวจ หรือกรณีอื่นๆ
เช่น ส้มจี๊ดมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านเขตดุสิตอยู่แล้ว
แต่บังเอิญว่าตอนที่มีการสำรวจรายชื่อผู้อยู่ในบ้าน เกิดความผิดพลาดทางเทคนิคทำให้ชื่อของส้มจี๊ดหายไปจากทะเบียนบ้าน เมื่อไปแจ้งเจ้าหน้าที่และตรวจสอบแล้วว่าตกสำรวจจริง
หรือจะเป็นเพราะกรณีอื่นใดก็ตาม เจ้าหน้าที่ก็จะเพิ่มชื่อให้
แต่ส้มจี๊ดก็จะมีหมายเลขในทะเบียนบ้านเป็นบุคคลประเภท 5 และบัตรประชาชนจะขึ้นต้นด้วยเลข 5 ทันที คือ
กลายเป็น 5 1001 01245 29 9

•ประเภทที่ 6 คือ ผู้ที่เข้าเมืองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และผู้ที่เข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมาย
แต่อยู่ในลักษณะชั่วคราว กล่าวคือ คนที่มาอาศัยอยู่ในประเทศไทย แต่ยังไม่ได้สัญชาติไทย
เพราะทางการยังไม่รับรองทางกฎหมาย เช่น ชนกลุ่มน้อยตามชายแดน หรือชาวเขา
กลุ่มนี้ถือว่าเป็นผู้เข้าเมืองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ส่วนบุคคลที่เข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมายแต่อยู่ชั่วคราว เช่น นักท่องเที่ยวหรือชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทย แม้บางคนจะถือพาสปอร์ตประเทศของตน แต่อาจจะมีสามีหรือภริยาคนไทย จึงไปขอทำทะเบียนประวัติ เพื่อให้มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านสามีหรือภริยา คนทั้งสองแบบที่ว่า ถือว่าเป็นบุคคลประเภท 6
•ประเภทที่ 7 คือ บุตรของบุคคลประเภทที่ 6 ซึ่งเกิดในประเทศไทย
คนกลุ่มนี้ในทะเบียนประวัติจะมีเลขประจำตัวขึ้นต้นด้วยเลข 7 เช่น 7 1012 2345 133
•ประเภทที่ 8 คือ คนต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยถูกต้องตามกฎหมาย คือ ผู้ที่ได้รับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวหรือคนที่ได้รับการแปลงสัญชาติเป็นสัญชาติไทย และคนที่ได้รับการให้สัญชาติไทย ตั้งแต่หลังวันที่ 31
พฤษภาคม 2527 เป็นต้นไปจนปัจจุบัน คนกลุ่มนี้เลขในทะเบียนประวัติจะขึ้นด้วยเลข 8

คนทั้ง 8 ประเภทนี้ จะมีเพียงประเภทที่ 3, 4 และ 5 เท่านั้น ที่จะมีบัตรประชาชนได้เลย ส่วนประเภทที่ 1 และ 2 จะมีบัตรประชาชนได้ ก็ต่อเมื่อมีอายุถึงเกณฑ์ทำบัตรประจำตัวประชาชน คืออายุ 15 ปี
แต่สำหรับบุคคลประเภทที่ 6, 7 และ 8 จะมีเพียงทะเบียนประวัติเล่มสีเหลืองเท่านั้นจะไม่มีการออกบัตรประชาชนให้
หลักที่ 2 ถึงหลักที่ 5
หมายถึงรหัสของสำนักทะเบียนที่ท่านมีชื่อในทะเบียนบ้านในขณะให้เลขสำหรับเด็กเกิดใหม่จะหมายถึงถิ่นที่เกิดเลยทีเดียว
- โดยหลักที่ 2 และ 3 หมายถึงจังหวัด
- หลักที่ 4 และ 5 หมายถึงอำเภอหรือเทศบาล

หลักที่ 6 ถึงหลักที่ 10
หมายถึงกลุ่มที่ของบุคคลแต่ละประเภทตามหลักแรก หรือหมายถึงเล่มที่ของสูติบัตรแล้วแต่กรณี

หลักที่ 11 และ 12
หมายถึงลำดับที่ของบุคคลในแต่ละกลุ่มประเภทหรือหมายถึงใบที่ของสูติบัตรแต่ละเล่มแล้วแต่กรณี

หลักที่ 13
คือ ตัวเลขตรวจสอบความถูกต้องของเลข 12 หลักแรก

ตัวเลข 13 หลักที่กล่าวข้างต้น อันเป็นเลขประจำตัวประชาชนของแต่ละคนนี้
แม้จะมิใช่ตัวเลขที่เราต้องใช้เป็นประจำในชีวิตประจำวัน ยกเว้นใช้ในการกรอกเอกสารบางอย่าง เช่น
การเปิดบัญชีธนาคาร ฯลฯ แต่เลขนี้ก็มีความสำคัญยิ่ง เพราะเป็นการสำแดงตัวตน
“ความเป็นคนไทยหรือคนในประเทศไทย” ที่ทำให้เราสามารถอาศัยอยู่ในประเทศไทย
และใช้สิทธิอย่างถูกต้องตามกฎหมายได้

ขอขอบคุณข้อมูลข่าว : อมรรัตน์ เทพกำปนาท สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม

เคล็ดลับ 10 ข้อในการจำศัพท์ภาษาอังกฤษ

รู้สึกสมองตื้อทุกครั้งเมื่อนึกถึงการที่ต้องท่องจำศัพท์ภาษาอังกฤษซะมากมายใช่มั้ยเด็กๆ วันนี้คุณครูมีเคล็ดลับดีๆมาฝาก

1. ความเกี่ยวเนื่อง: ถ้านักเรียนจัดคำศัพท์ออกเป็นหมวดหมู่ขึ้นอยู่กับความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันระหว่างศัพท์แล้วเขียนออกมาเป็นแผนผังจะทำให้นักเรียนจำคำศัพท์ได้ง่ายขึ้น

2. เขียน: การนำคำศัพท์นั้นมาใช้จะทำให้นักเรียนจำได้ฝังใจยิ่งขึ้น ลองเขียนแต่งประโยคโดยนำศัพท์ใหม่ที่เรียนนั้นมาประกอบหรือแต่งเรื่องโดยใช้กลุ่มคำศัพท์หรือสำนวนที่เรียนอยู่

3.วาดรูป: ดึงวิญญาณศิลปินตัวน้อยออกมาใช้ โดยการวาดรูปที่แสดงถึงศัพท์ที่เรียนอยู่ ภาพที่วาดจะช่วยกระตุ้นความทรงจำถึงศัพท์นั้นในอนาคต

4. แสดง: แสดงท่าทางประกอบคำศัพท์หรือสำนวนที่กำลังเรียนอยู่ หรือจินตนาการว่าจะแสดงออกอย่างไรในสถานการณ์ที่คุณต้องใช้ศัพท์คำนั้น

5. สร้าง: ออกแบบสมุดศัพท์ภาษาอังกฤษพร้อมความหมายแล้วเปิดอ่านหรือท่องในยามว่าง ทำเล่มใหม่ขึ้นทุกอาทิตย์และอย่าลืมทบทวนอันเก่าไปพร้อมๆ กันด้วยหล่ะ

6. ความสัมพันธ์: กำหนดแต่ละสีให้แต่ละคำศัพท์ ความสัมพันธ์ของแต่ละคู่จะช่วยให้จำศัพท์นั้นได้แม่นขึ้นเมื่อนึกถึงคำนั้นในคราวต่อไปนะคะ

7. ฟัง: นึกถึงศัพท์คำอื่นที่ออกเสียงคล้ายๆ กับคำศัพท์ใหม่ที่กำลังเรียนอยู่ ใช้ความสัมพันธ์ตรงจุดนี้ในการช่วยให้นักเรียนจำการออกเสียงของคำใหม่นั้นได้ง่ายขึ้น

8. เลือก: จำไว้ว่าการเรียนในหัวข้อที่นักเรียนชอบหรือสนใจจะทำให้รู้สึกว่ามันง่ายขึ้น ฉะนั้นควรใส่ใจในการเลือกคำศัพท์ที่คิดว่ามีประโยชน์หรือน่าสนใจ เพราะแม้แต่กระบวนการเลือกคำที่จะเรียนก็มีผลให้จำได้แม่นและเร็วขึ้นด้วยเช่นกัน !

9. ข้อจำกัด: มันเป็นไปไม่ได้ที่คนเราจะจำศัพท์ที่มีอยู่ในดิกชันนารี่ทั้งหมดได้ในวันเดียว เพราะฉะนั้นจำกัดการเรียนศัพท์ใหม่แค่วันละ 15 คำก็พอแล้ว ซึ่งถ้าพยายามจำให้มากคำเกินไปกว่านี้แทนที่มันจะทำให้นักเรียนรู้สึกมั่นใจกลับจะทำให้นักเรียนสมองตื้อแทน

10. สังเกต: พยายามสังเกตหาคำศัพท์ที่คุณกำลังเรียนอยู่เมื่ออ่านหรือฟังภาษาอังกฤษ

แนะวิธีเอาชนะ "ออฟฟิศซินโดรม" โรคร้ายที่มากับเทคโนโลยีก้าวหน้า

เหตุวิธีชีวิตคนเมืองเปลี่ยนไป เป็นนั่งโต๊ะทำงานนานกว่า 6 ชั่วโมง พร้อมชีวิตออนไลน์เสมือนจริงที่นั่งแช่อยู่หน้าจอทั้งวัน ก่อโรค "ออฟฟิศซินโดรม" แนะวิธีเอาชนะง่ายๆ ออกกำลังกายดีที่สุด แต่หากชอบนวด-ดัดก็ทำตามใจเพราะความ "พึงใจ" สำคัญที่สุด ดีกว่ากินยารักษาเยอะแต่ไม่ได้ผล

ด้วยวิถีชีวิตคนเมืองที่มีรูปแบบการทำงานเปลี่ยนไปเป็นนั่งโต๊ะอยู่กับที่ บางคนนั่งทำงานนานกว่า 6 ชั่วโมง ต่อเนื่องยาวนาน จนเป็นเหตุให้เกิด "โรคออฟฟิศซินโดรม" (Office syndrome) ที่คนหนุ่มสาวมีอาการปวดหลัง-ปวดข้อก่อนวัยอันควร ซึ่ง นพ.ประดิษฐ์ ประทีปวนิช นายกสมาคมศึกษาเรื่องความปวดแห่งประเทศไทย กล่าวว่า โรคดังกล่าวมาพร้อมกับความเจริญของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี อีกทั้งเป็นโรคที่พบในสังคมเมืองแต่ไม่พบในสังคมชนบท และพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย 9-10 เท่า

“โรคนี้เกิดจากพฤติกรรมของเรา หากนั่งทำงานมากกว่า 6 ชั่วโมงต่อวัน มีโอกาสเกิดโรคนี้แน่นอน เจอเยอะในคนวัยทำงาน และมีแนวโน้มอายุน้อยลงเรื่อยๆ เพราะคนในปัจจุบันอาศัยอยู่ในพื้นที่จำกัด ทำให้เกิดความเครียด อีกทั้งเด็กสมัยใหม่อยู่ในโลกเสมือนจริง นั่งแชร์อยู่หน้าคอมพิวเตอร์ เล่นเกม คุยกับเพื่อน ซึ่งเราไปเปลี่ยนเขาไม่ได้" นพ.ประดิษฐ์กล่าว

ทั้งนี้ แนวทางในการรักษาโรคออฟฟิศซินโดรมนั้น นพ.ประดิษฐ์กล่าวว่า หากวินิจฉัยชัดเจนว่าเป็นโรคนี้ ไม่ใช่โรคหมอนรองกระดูกเสื่อม กระดูกคอเสื่อมหรือไมเกรน ก็มีวิธีรักษาง่ายๆ คือ ออกกำลังกาย ซึ่งเป็นวิธีดีที่สุดในการรักษาโรคนี้ แต่ต้องวินิจฉัยให้ชัดเจน เพราะหากเป็นหมอนรองกระดูก จะไม่สามารถออกกำลังกาย เนื่องจากจะทำให้ทรุดหนักกว่าเดิม และต้องปรับปรุงสถานที่ทำงาน แต่หากทำไม่ได้ให้เน้นสร้างร่างกายตัวเองให้แข็งแรง

“สำหรับการรักษาโรคนี้ไม่มีข้อจำกัด เรามีทางเลือกที่หลากหลาย เลือกอะไรก็ได้ ที่ทำได้ด้วยตัวเอง และเป็น "ความพึงพอใจ" แม้บางอย่างจะสู้การออกกำลังกายไม่ได้ แต่เป็นความพึงพอใจของเรา ก็จะได้ผลกว่า ทั้งนี้ต้องไม่เป็นโรคต้องห้าม เช่น คนไข้ที่มีโรคเลือดห้ามฝั่งเข็ม เป็นต้น หรือกระดูกไม่แข็งแรงก็ไม่ควรนวดหรือดัด โรคนี้เราต้องตามให้ทัน ไม่อย่างนั้นเราต้องกินยารักษาเยอะแล้วไม่ได้ผล" นพ.ประดิษฐ์กล่าว

ทั้งนี้เป็นการเปิดเผยระหว่างการประชุมวิชาการประจำปี 2553 เรื่อง "บทบาทวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีต่อมนุษย์" ที่จัดขึ้นโดย สภาสมาคมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 25 ก.พ.53 ณ สโมสรกองทัพบก ซึ่งทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTV-ผู้จัดการออนไลน์ ได้เข้าร่วมฟังสัมมนาในการประชุมดังกล่าวด้วย